ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มโนมยิทธิ2

๑ พ.ค. ๒๕๕๔

 

มโนมยิทธิ ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ข้อ ๔๐๓. ผ่านไง ข้อ ๔๐๓. ไม่เอา ข้อ ๔๐๔. เวลาอย่างนี้ เพราะมันต้องชัดๆ ไง

ถาม : ๔๐๔. เรื่อง “ขอคำตอบชัดๆ ด้วยครับ”

หลวงพ่อ : นี่คือหัวข้อนะ “ขอคำตอบชัดๆ ด้วยครับ” ว่าจะไม่อ่านทั้งหมดนะ แต่มันเกี่ยวเนื่องกันต้องอ่าน

ถาม : นมัสการหลวงพ่อสงบครับ หลวงพ่อเมตตาสอบทานทิฐิของผมมาหลายครั้ง ทำเอาสะดุ้งเฮือกหลายครั้ง ผมได้ประโยชน์มหาศาล และผมก็แน่ใจว่า ความรู้ของหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้เทศน์ ยังมีอีกมากครับ เดี๋ยวนี้ผมไปไหนก็จะเก็บไฟล์เสียงหลวงพ่อไว้ในโทรศัพท์ เปิดฟังเรื่อยๆ ซ้ำๆ เวลาฟังหลวงพ่อเทศน์จิตสบายๆ ไม่ค่อยคิดเรื่องบาปๆ สงสัยกิเลสมันกลัวหลวงพ่อมั้งครับ

ที่โดนใจมาก หลวงพ่อเทศน์เรื่องกิเลสที่มันทำเป็นอยู่ข้างเดียวกับเรา เวลาที่หลวงพ่อเน้นเสียงหนักๆ ตามด้วยหัวเราะเบาๆ เออ.. ผมฟังแล้วรู้สึกว่าอย่างไรไม่รู้ บอกไม่ถูกครับ ผมขออนุญาตอ้างอิงกัณฑ์เทศน์หลวงพ่อ หลวงพ่อเทศน์เรื่อง “ไอ้โต้ง” เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ในนั้นมีคำถามผมอยู่ สุดท้ายหลวงพ่อเทศน์ว่า

“ไม่อยากให้กระเทือนกันมาก นี่หลบนะไม่ชน หลบ.. หลบเฉยๆ จบ!”

แต่ต่อมาในกัณฑ์เทศน์เรื่อง “คติธรรม” เทศน์เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ หลวงพ่อเล่าเรื่องหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว มาหาหลวงปู่ขาว ๒ เรื่องนี้ต่อเนื่องกันครับ คือเรื่องสภาวะเห็นนิพพาน.. เข้าคำถามเลยนะครับ สิ่งเหล่านี้มาจากการคาดคะเนของผม ยังไม่กล้าถามใครที่ไหนนอกจากหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อ : อันนี้เป็นเรื่องแล้วล่ะ (หัวเราะ)

ถาม : ๑. พุทธองค์มาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นที่ท่านบรรลุธรรม หลวงปู่มั่นมาหาหลวงปู่ขาวได้ในทำนองนี้ เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติของพระอริยเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นโลกไปแล้วได้ เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นใช่หรือไม่ครับ

๒. มีบางวิชาในพุทธศาสนา คือมโนมยิทธิที่ทำให้สามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นโลกไปได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอริยเจ้าจะทำได้ทุกองค์ใช่หรือไม่ครับ

๓. ทำไมมโนมยิทธิที่ระบุในพระไตรปิฎก มีข้อมูลไม่มากนัก แต่ระบุว่าเนรมิตกายอื่น จากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ.. คำว่าเนรมิต จริงๆ แล้วมีความลึกซึ้งในทางปฏิบัติ จริงขนาดไหนครับ

๔. สภาวธรรมที่อธิบายได้ใกล้เคียงกับนิพพานที่สุดคือความว่าง ไม่มีจิต ไม่มีกิเลส ใช่หรือไม่ครับ

๕. สภาวะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่พ้นจากโลกแล้ว สามารถปรากฏเป็นนิมิตกับผู้ที่ปฏิบัติที่สภาวะจิตที่ถึงจริงๆ ใช่หรือไม่ครับ

๖. ที่เรียกว่าพระรัตนตรัย คำว่ารัตนะแปลว่าแก้ว ในทีนี้จะเกี่ยวเนื่องอะไรกับภาวะนิมิตที่ปรากฏเห็นในการฝึกมโนมยิทธิหรือไม่ อย่างไรครับ

ผมไม่รู้ว่าตนเองยังมีมิจฉาทิฐิคาอยู่อีกกี่ส่วน ยังคาใจในหลายๆ เรื่อง เรื่องทฤษฏีและปฏิบัติ ผมอยากได้คำตอบชัดๆ ครับ

ปล. ถ้าคำถามนี้ ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าไม่เหมาะที่จะออกอากาศ จะกระทบกระเทือน ผมจะขออนุญาตเซฟในเครื่องไว้ก่อน แล้วจะปริ้นซ์ไว้ แล้วจะหาเวลาไปปรึกษาที่วัดครับ ขอบพระคุณ

หลวงพ่อ : ปล. ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าไม่ควรออกอากาศ ก็ไม่ต้องตอบเลยก็จบ อ้าว.. ก็เห็นว่าไม่สมควรก็ไม่ต้องตอบก็จบเนาะ

ถาม : ข้อ ๑. พระพุทธองค์มาอนุโมทนาหลวงปู่มั่นที่ท่านบรรลุธรรม หลวงปู่มั่นมาหาหลวงปู่ขาว เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ความผิดปกติของพระอริยเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นจากโลกไปแล้ว แต่เพียงว่าท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ใช่หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : อันนี้เป็นสิ่งที่ว่าในวงภายในกรรมฐาน วงภายในเพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านมีศักยภาพมาก ฉะนั้นผู้ที่จะมาเป็นผู้นำต้องสร้างบุญญาธิการ อย่างเช่นหลวงตาท่านพูด เห็นไหม ที่ท่านออกมาโครงการช่วยชาติ ท่านบอกว่าเรามีสายบุญสายกรรมต่อกันมา ฉะนั้น ท่านเป็นหัวหน้าออกพาโครงการช่วยชาติจะมีคนเห็นด้วย แต่ในทางสังคมเหรียญมี ๒ ด้าน คนที่ไม่เห็นด้วยก็มีเป็นธรรมดา

ทีนี้คนที่ไม่เห็นด้วย ถ้าคนที่ไม่เห็นด้วยมีมากกว่า หรือทำให้โครงการนั้นไปไม่รอดหรือโครงการนั้นไปไม่ได้ นั่นคือว่าบุญบารมียังไม่มากพอ แต่หลวงตาเรานี่บุญบารมีมากมหาศาล เพราะหลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้แล้ว ว่าต่อไปจะมีพระหนุ่มๆ จะบรรลุธรรม แล้วจะสร้างประโยชน์กับพุทธศาสนาด้วย จะสร้างประโยชน์กับโลกด้วย

ท่านพูดเอาไว้เลย หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังประจำ เรื่องนี้หลวงปู่เจี๊ยะพูดมา เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเยอะมาก เวลาใครมานี่

“ใช่องค์นี้ไหม?”

“ไม่ใช่”

“ใช่องค์นี้ไหม?”

“ไม่ใช่”

เวลาหลวงตามาถึง “ใช่องค์นี้ไหม?” ท่านไม่ตอบนะ ไม่พูดอะไรเลย แล้วท่านก็ทำของท่านมา เห็นไหม

นี่พูดถึงว่าสิ่งที่หลวงตาท่านสร้างบุญญาธิการของท่านมา ท่านถึงมีบารมีธรรม สามารถจะช่วยเผยแผ่ธรรมะในทางธรรมด้วย และในทางโลกด้วย หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ของหลวงตา ท่านได้สร้างบุญญาธิการมามากกว่าหลวงตา ท่านถึงสามารถเอาหลวงตาได้ อย่างเช่นเรานี่เราสร้างบุญญาธิการมา เราเป็นคนที่มีเชาว์ปัญญามาก เราให้คนที่โง่กว่าเรามาสอนเรา เราจะเชื่อไหม?

มันเป็นไปไม่ได้หรอก สมมุติว่าเรามีปัญญามาก เรามีปัญญา มีสายตามองการณ์ไกล มองทุกอย่างออกหมดเลย แล้วมีคนที่มีสายตาสั้นกว่า สายตาที่ไม่มีวุฒิภาวะเลยจะมาชักนำเราไปเราจะเชื่อไหม? เราก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา เรามีสายตาที่ยาวไกล เรามองอะไรทะลุปรุโปร่งหมดเลย แต่ยังมีคนที่มองทะลุดีกว่านั้น มีคนที่คอยชี้นำเรา อันนั้นมันสำคัญกว่า

ฉะนั้น เราจะบอกว่าทำไมพระพุทธองค์ถึงมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น พระพุทธองค์จะมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นจะมาขับเคลื่อนสัจธรรมไง จะมาขับเคลื่อน นี่กึ่งพุทธกาลจะมาขับเคลื่อนสัจธรรมหนหนึ่ง ถ้าไม่มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นะ ในศาสนาเรามันก็มีอย่างที่เราเห็นๆ กัน เชื่อกันอย่างนี้ มันมีแต่ความเชื่อ มันไม่มีความจริง

ในเมื่อมันไม่มีความจริง มันก็มีแต่ศรัทธาอย่างเดียว แต่ถ้ามันมีความจริงขึ้นมานี่ ใครสามารถเข้าสู่ความจริงนั้น ถ้าใครสามารถเข้าสู่ความจริงนั้นมันก็เป็นพยานต่อกัน มันก็เคารพบูชากัน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรก

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ! อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ!”

ดีใจมาก ดีใจว่ามีพยานไง พอมีพยานแล้ว จะพูดอะไรไปมันก็สบายใจใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีพยาน พูดอยู่คนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อยู่คนเดียว แล้วไม่มีใครรู้เลย มันก็เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ได้ แต่พอพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมากเลย

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” คือเรามีพยานแล้ว เรามีพยานแล้ว หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน หลวงปู่มั่นเวลาท่านจะขับเคลื่อนไป เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป

ฉะนั้น เราจะบอกว่าพระพุทธองค์มาอนุโมทนาไม่กับทุกๆ คนหรอก แม้แต่พระอรหันต์นะท่านก็ไม่อนุโมทนาหรอก ท่านก็ดีใจด้วย แต่หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนวางนะ เป็นคนวาง อย่างเช่นที่หลวงปู่มั่นท่านมาหาหลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่นมาหาหลวงปู่ขาวเพราะอะไร เพราะหลวงปู่ขาวท่านเป็นคนเล่าให้หลวงตาฟัง

นี่มันเป็นความจำเป็น! มันเป็นความจำเป็นที่ศาสนาจะเคลื่อนไป ศาสนาจะเคลื่อนไปเพราะเหตุใด เพราะหลวงตาจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น พอหลวงตาจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ๘ ปีสุดท้าย ไปอยู่ตอนหลวงปู่มั่นท่านชราภาพ แต่ก่อนหน้านั้นท่านก็ได้ฟังข่าวมาทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่สนิทใจ มันต้องไปยืนยันกับผู้ที่อยู่กับหลวงปู่มั่น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น แล้วผู้ที่สืบทอดกันมา

หลวงปู่ขาวกับหลวงปู่แหวนท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ นี่มันขึ้นไปสืบทอดกันมา มันเหมือนกับเรา ดูสิเราเป็นโค้ชนักกีฬา เราเป็นอาจารย์ผู้สอน เห็นไหม แล้วเราสอนนักกีฬา แล้วนักกีฬามันทำได้ๆ นักกีฬากับอาจารย์นั้นมันจะสื่อกันง่ายไหม ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนี่มันเป็นได้ ฉะนั้นหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่ขาว เพราะว่าหลวงปู่ขาวท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ใกล้ชิดกับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่ขาวท่านประพฤติปฏิบัติได้ผลด้วย

มันสำคัญตรงนี้! สำคัญตรงอยู่ใกล้กัน แล้วได้ผลเหมือนกัน.. อยู่ใกล้กัน คนหนึ่งมีผล อีกคนหนึ่งไม่มีผล พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าใครอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงตาจะไปให้บอกหมด ท่านไม่เอาหรอก ท่านเอาคนที่อยู่กับหลวงปู่มั่นด้วย แล้วปฏิบัติได้ผลกับหลวงปู่มั่นด้วย

ฉะนั้นหลวงปู่ขาวนี่ หลวงปู่มั่นมาเพราะว่าหลวงปู่ขาวเล่าให้หลวงตาฟังเอง ว่าถ้าทำข้อใดผิดพลาด คืนนั้นภาวนาเข้าสมาธิ หลวงปู่มั่นมาแล้ว ผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ สอนมาตลอด สอนมาเพราะอะไร เพราะหลวงปู่ขาวท่านจะเป็นหลักชัย เห็นไหม เป็นหลักชัยเพราะว่าที่ถ้ำกองเพล พระไปอยู่ที่นั่นเยอะมาก ทีนี้หลวงตาท่านไปหาหลวงปู่ขาวเพราะท่านต้องการจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น มันมีเหตุมีผล ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะไปดึงมา ไปเอามาโฆษณาอวดกัน ไม่ใช่!

ฉะนั้นในประวัติหลวงปู่มั่น กับในปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน มันจะเป็นเรื่องของหลวงปู่ขาวครึ่งเล่ม หลวงปู่ชอบอีกครึ่งเล่ม หลวงปู่ชอบก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมา แต่หลวงปู่ชอบเป็นผู้ที่ภาวนามาได้ผลเหมือนกับหลวงปู่ขาว แต่ทำไมหลวงปู่มั่นไม่ค่อยได้มามากมายเพราะอะไร เพราะหลวงปู่ชอบท่านทำตัวตามสบายๆ

ฉะนั้น สิ่งที่มานี้มันต้องมีเหตุมีผลด้วย มันต้องมีเหตุอื่นนะ อย่างพระพุทธองค์มาหาหลวงปู่มั่น เพราะถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ของเรานะ ยกหลวงปู่มั่นออก ยกกรรมฐานออกสิ สังคมไทยจะเป็นอย่างไร สังคมไทยที่เป็นอยู่นี้เพราะวงกรรมฐาน แล้วพอมีความเชื่อมั่นขึ้นมา มันทำเข้าไปในศรัทธาความเชื่อของคนในศาสนามั่นคงขึ้น

นี่สิ่งนี้มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นเพราะว่ามันมีเหตุมีผล มีที่มาแล้วมาได้จริง ดูนะดูนักกีฬา เห็นไหม อย่างเช่นกีฬาว่ายน้ำ ถ้าเราสอนแล้วเด็กมันว่ายน้ำไม่เป็น มันก็ต้องมีห่วงยางไปด้วยใช่ไหม แล้วเด็กที่มีห่วงยาง เราเป็นนักกีฬาที่มีห่วงยาง เราเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก แต่เราว่ายน้ำต้องมีห่วงยางทุกที่ เราจะไปแข่งสระโอลิมปิกได้ไหม?

มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราเป็นนักกีฬาโอลิมปิก เราได้เหรียญทองด้วย เราจะลงสระไหน.. คนว่ายน้ำเป็นเหมือนกับคนภาวนาเป็น คนว่ายน้ำไม่เป็น ก็เหมือนคนภาวนาไม่เป็น ถ้าคนภาวนาไม่เป็นนี่ จะลงสระไหนฉันก็ลงได้ แต่ฉันต้องมีห่วงยางด้วยนะ จะไปลงสระไหนฉันก็มีห่วงยางด้วย แล้วอาจารย์มองลูกศิษย์อย่างนั้น อาจารย์จะขำไหม มันเป็นไปได้ไหมว่าเวลาเขาแข่งกีฬาว่ายน้ำ นักกีฬาต้องใส่ห่วงยางด้วย มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้!

อันนี้ก็เหมือนกัน คนภาวนาไม่เป็นมันใส่ห่วงยางไปด้วย ฉะนั้นเวลาพูดธรรมะออกมานี่มันประจานตัวมันเอง คนที่ภาวนาไม่เป็น พูดธรรมะออกมามันมีห่วงยางติดตัวมันมาตลอด มันภาวนาไม่เป็นหรอก แต่ถ้าภาวนาเป็นแล้วด้วยอย่างหนึ่ง แล้วต้องมีเหตุมีผล

ที่ว่าหลวงปู่มั่นนี่เขาบอกว่า “จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นจากโลกไปแล้ว เพียงแต่ท่านพูดหรือไม่พูด ใช่หรือไม่ครับ”

ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เพียงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนาเท่านั้นเอง อันนี้นะพูดถึงมันเป็นประเด็นมาก เพราะว่าในประวัติหลวงปู่มั่น คึกฤทธิ์เวลาเขาโต้แย้งหลวงตามา บอกว่า “กรรมฐานนี่จะโง่หรือฉลาด เพราะพระอรหันต์คือว่ามันเป็นวิมุตติไปแล้ว มันไม่มี แล้วบอกว่าพระพุทธองค์มาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น มันเป็นการสอนให้โง่หรือสอนให้ฉลาด”

คึกฤทธิ์พูดขนาดนั้นนะ ในประวัติหลวงปู่มั่นเล่มแรกๆ เพราะผู้ที่ยึดปริยัติตายตัวเขาจะยึดตายตัว แต่ถ้าพูดถึงนะ คำว่า “ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือ” คือว่าทฤษฎีในพระไตรปิฎก กับข้อเท็จจริงที่อยู่นอกพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้ารู้อีกมากมาย แต่การอ้างแบบนี้ มันต้องเป็นการอ้างแบบสุภาพบุรุษ แบบผู้รู้จริง แบบบัณฑิต เพื่อประโยชน์ แต่ถ้าการอ้างแบบนี้ อ้างว่าใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่า มันจะอ้างแบบพาลนี่นะ มันจะคิดเห็นสิ่งใด ทำความชั่วช้าอย่างไร มันบอกนี่คือใบไม้นอกกำมือไง

การอ้างมันมีอ้างโดยธรรมและอ้างโดยกิเลส อ้างโดยคุณงามความดีหรืออ้างโดยชั่ว ถ้าอ้างโดยชั่ว เพราะนี่พระพุทธเจ้าพูดไว้อย่างนั้นจริงๆ “ใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่า” ถ้าอ้างโดยชั่ว มันก็ทำความชั่วของมัน แล้วก็อ้างทฤษฎีนี้หลบเลี่ยงเอา แต่ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงแล้วมันเหนือทุกๆ อย่าง

ฉะนั้นความจริงเหนือทุกอย่างแล้ว มันแบบว่าใบไม้ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในกำมือ คือว่ามันอยู่นอกขอบเขตพระไตรปิฎกไง ฉะนั้นคนที่ยึดแต่ใบไม้ในกำมือมันก็พยายามจะศึกษา พยายามจะเอาข้อเท็จจริงอันนั้นมาอ้างอิงไง ว่าพระอรหันต์จะมาอนุโมทนาได้อย่างไร พระอรหันต์ไม่มี พระอรหันต์สิ้นกิเลสไปแล้ว พระอรหันต์ไม่มีกิเลส ไม่มีภพไม่มีชาติ แต่มีอยู่เว้ย ถ้าไม่มีอยู่มันจะเสวยวิมุตติสุขได้อย่างไร

นี่ไงถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่สงสัยเรื่องนี้นะ พระอรหันต์คือพระอรหันต์เหมือนกันหมด พระอรหันต์รู้หมดเลย ฉะนั้นเพียงแต่ว่า มันเป็นที่เขาว่าต้องชัดๆ ด้วย เพราะมันมีการเกี่ยวพันกัน ฉะนั้น เพราะเราพูดไปแล้ว คำพูดนี้เราได้ฟังมา เราจำขี้ปากของหลวงตามาพูด เราไม่ได้พูดเอง เราจำขี้ปากหลวงตามา หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เราก็เอามาพูดต่อ ฉะนั้นเราถึงบอกว่ามันจะเป็นใบ้ไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือไง

ถาม : ข้อ ๒. มีบางวิชาในทางพุทธศาสนา คือมโนมยิทธิที่จะทำให้สามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นโลกไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอริยเจ้าจะทำได้ทุกองค์ ใช่หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : ใช่อยู่แล้ว พอมันใช่อยู่แล้ว ฉะนั้นคำว่ามโนมยิทธิ วิชามโนมยิทธิมันอีกเรื่องหนึ่งนะ การติดต่อนี่เราจะบอกว่า มโนมยิทธิโดยที่ว่าจะเข้าไปติดต่อโดยตรง เราว่ามันไม่มีเกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ อีก ๙๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะมโนมยิทธินี้ ใครศึกษาวิชามโนมยิทธิ กิเลสมันยังเต็มหัวอยู่ไง

คำว่ากิเลสเต็มหัวอยู่คืออวิชชามันมีอยู่ในตัวเรา ความไม่จริงในตัวเรามันเยอะ จะไปสัมพันธ์กับความเป็นจริงแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เชื่อว่าทำได้ เราไม่เชื่อว่าทำได้มโนมยิทธิเนี่ย มโนมยิทธินี้ก็คือสมาธิเท่านั้นเอง มโนมยิทธิกับสมาบัติ ๘

สมาบัติ ๘ นะ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่เวลาเข้าออกแล้ว เวลาจิตมันทำได้แล้วนี่มันรู้ได้หมด มันเป็นไปได้หมด มันมีฤทธิ์เหมือนกัน

มโนมยิทธิ! มโนคือใจ มยิทธิคือฤทธิ์.. ฤทธิ์ทางใจ! ฤทธิ์ทางใจไม่ใช่อริยสัจ ฤทธิ์ทางใจฆ่ากิเลสไม่ได้ มโนมยิทธินี้ไม่ใช่วิชาการฆ่ากิเลส มโนมยิทธินี้คือการฝึกวิชามโนมยิทธิ

พอเข้ามโนมยิทธินี้แล้วจะติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ คำว่าติดต่อพระพุทธเจ้าจะได้ไหม? คำว่าติดต่อพระพุทธเจ้า ติดต่ออะไร พระพุทธเจ้าจะยอมติดต่อไหม พระพุทธเจ้าจะติดต่อกับเราไหมในเมื่อกิเลสยังเต็มหัวอยู่ พระพุทธเจ้าจะติดต่อกับมึงไหม? ตอนนี้เราไปชายแดนเขมร แล้วติดต่อกับทหารเขมร มันจะติดต่อกับเราไหม มันจะเอาลูกปืนให้กินน่ะ ไปชายแดนเขมร เดินเข้าไปมันยิงโป้งเลย เข้าหัวเลย

นี่ก็เหมือนกัน เรากิเลสเต็มหัว ในนิพพานคือว่าผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว แล้วเรากิเลสเต็มตัว เราจะติดต่ออย่างไร เราจะติดต่ออย่างไร? แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นในผลดีของเรา เห็นในประโยชน์กับเรานะ ท่านเมตตาเรา ท่านจะมาอนุโมทนากับเรา นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ

มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ว่าเรานี่จะเป็นคนทำดีจริงหรือเปล่า แล้วทำเพื่อประโยชน์กับศาสนาจริงหรือเปล่า ถ้าทำประโยชน์จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตา แล้วท่านมาอนุโมทนากับเรา นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่บอกเราจะติดต่อกับพระพุทธเจ้า เราจะเข้ามโนมยิทธิ เราจะติดต่อกับคนนู้น คนนี้.. ไม่ใช่ไปรษณีย์นิ เออ ถ้าเป็นไปรษณีย์นี่ได้นะ เราจะส่งไปคนนู้น ส่งไปคนนี้ เขาจะรับหรือไม่รับ นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ

มันมีเหตุมีผลของมันนะ ฉะนั้นคำว่ามโนมยิทธินี่ มโนมยิทธิคือฤทธิ์นะ ความจริงในวิชามโนมยิทธิ มโนมยิทธิก็คือสมาบัตินั่นแหละ คือเข้าออกง่ายดาย ชำนาญมาก แล้วหันมาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ แค่เคี้ยวหมากแหลกจะได้เป็นพระอรหันต์.. แค่เคี้ยวหมากแหลกนะ เพราะถ้าเข้ามโนมยิทธินี่มันชำนาญมาก มันชำนาญการเข้าสมาบัติมาก คือว่าเราพร้อมมาก แล้วใช้พลังงานนี้ออกมาเป็นอริยสัจ คือเป็นมรรค คือพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม

นี่มันต้องไปพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม ให้เป็นวิปัสสนา ให้เป็นมรรคญาณ ถ้าเป็นมรรคญาณที่พิจารณาไปแล้วมันจะบรรลุธรรม ถ้าบรรลุธรรม มันตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ อันนั้นถึงเป็นธรรม แต่ตัวมโนมยิทธิไม่ใช่อริยสัจ ตัวมโนมยิทธิฆ่ากิเลสไม่ได้ ตัวมโนมยิทธิมันฆ่ากิเลสได้ตรงไหน ตัวมโนมยิทธินี้ต้องไปวิปัสสนาต่างหาก ตัวมโนมยิทธิต้องใช้ปัญญาต่างหาก ฉะนั้นตัวมโนมยิทธิมันก็คือสมาบัตินั่นแหละ

ฉะนั้น นี่อยากชัดๆ คำว่าชัดๆ นะ เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์เราท่านให้เข้าสัมมาสมาธิ ท่านให้เข้าสัมมาสมาธิเพื่อจะควบคุมจิต ไม่ให้มันแถออกนอกลู่นอกทาง มโนมยิทธินั้นมันก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง แต่! แต่เวลาหลวงปู่ตื้อนี่นะ เวลาท่านทำไป จิตใจของท่าน ท่านสร้างบารมีของท่านมามาก ท่านเป็นยิ่งกว่านี้อีกเพราะจิตของท่านมีกำลังมาก

แล้วเวลาท่านวิปัสสนาไป ด้วยครูบาอาจารย์ที่ดี ด้วยครูบาอาจารย์ที่เป็นหลวงปู่มั่นท่านเข้มแข็ง ท่านรู้ทันหมด ท่านพยายามประคอง พยายามทำให้หลวงปู่ตื้อไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือสิ้นกิเลสได้ พอสิ้นกิเลสได้ หลวงปู่ตื้อท่านมีอภิญญา ๖ หลวงปู่มั่นท่านก็มี หลวงปู่มั่นมีเพราะอะไร แล้วเราเชื่อว่าหลวงปู่มั่นมีเพราะอะไร หลวงปู่มั่นมีเพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านไปถามหลวงปู่มั่นเองว่า “อภิญญา ๖ แก้กิเลสได้ไหม”

หลวงปู่มั่นบอก “ไม่ได้”

“อ้าว.. ไม่ได้แล้วหลวงปู่มั่นทำทำไม”

“ทำไว้เป็นอุปกรณ์ไว้สอนคน” เป็นอุปกรณ์ไว้สอนคน คือรู้วาระจิตเขา รู้อะไรของเขามันเป็นอุปกรณ์ไว้สอนคน แต่สอนอะไร สอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องมรรคไง

ฉะนั้น ประสาเราว่าเรื่องสัจจะ เรื่องอริยสัจจะ เรื่องมรรคญาณต่างๆ มันเป็นมรรค ๘ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะ เห็นไหม มีสติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นข้อเท็จจริงในพุทธศาสนา แต่เรื่องมโนมยิทธิ เรื่องอะไรต่างๆ นี้ เพราะสมัยพุทธกาลมันมีลัทธิต่างๆ มหาศาลเลย มันมีพวกฤๅษีชีไพรที่เขาทำเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชได้อยู่แล้ว ทีนี้เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชอะไร มันก็เป็นกรณีอย่างนี้ กรณีอย่างนี้มันเป็นอย่างนั้น แล้วกรณีอย่างนี้เราจะประคองให้เขาพัฒนา ให้จิตของเขาเข้ามาสู่มรรคอย่างไร?

มันสำคัญตรงนี้นะ สำคัญว่าถ้าคนมันมีอย่างนี้ปั๊บมันจะมีทิฐิมานะ นี่เขาเรียกว่า “ผู้วิเศษ” ผู้วิเศษเพราะว่าจิตมันจะมีกำลัง จะรู้เรื่องอะไรที่เราไม่รู้ แต่สมัยปัจจุบันนี้มันไม่เป็นเรื่องแปลก เพราะอะไร เพราะเรามีเทคโนโลยี เห็นไหม เราเหาะเหินเดินฟ้าได้ จนเดี๋ยวนี้จะไปเที่ยวดาวอังคารกันแล้วนะ ไม่เที่ยวแล้วเมืองไทย เขาซื้อตั๋วกันแล้วจะไปเที่ยวพระจันทร์กัน

นี่ไง เพราะวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ อย่างหูทิพย์นี่โทรศัพท์ได้สบายมากเลย ตอนนี้โทรไปอเมริกาก็ได้ อะไรก็ได้ นี่ไงอภิญญา ๖ แต่เมื่อก่อนเทคโนโลยีมันไม่มี สมัยพุทธกาลมันไม่มี ใครทำเรื่องอย่างนี้ได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก แต่เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันทำจนไม่เป็นมหัศจรรย์ไปแล้ว แล้วอริยสัจเป็นอย่างไรล่ะ?

นี่ไง มโนมยิทธิมันเป็นฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธิทำสมาบัติมันก็เป็น ทีนี้หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านพยายาม.. เรื่องนี้นะหลวงตาท่านพูดประจำ “เรื่องฌาน เรื่องแชนอย่ามาพูดกับเรานะ” เรื่องฌาน เรื่องแชน หลวงตาท่านดีดตกทะเลเลย เพราะมันไปทำให้คนติดไง โอ้โฮ.. เราได้ฌานนู้น ฌานนี้แล้ว

ฌานก็คือสมาธิ ทีนี้เราบอกว่าฌานคือสมาธิ ก็คือทำความสงบของใจไง แต่มันมีแรงขับ มันไม่เหมือนสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิในตัวของมันเอง แล้วถ้ามันลงไปแล้ว มโนมยิทธิถ้าจิตดวงไหน พันธุกรรมจิตดวงไหนมันมีฤทธิ์มีเดช นั่นครูบาอาจารย์ต้องประคองตรงนั้น เพราะฤทธิ์เดชหรือเรื่องมโนมยิทธิมันไม่ใช่อริยสัจ มันเป็นพลังงาน ฤทธิ์ทางใจๆ มันเป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานที่มีฤทธิ์ แล้วเราจะเอาพลังงานที่มีฤทธิ์นี้หักเข้ามา หักเข้ามาทำงานนี่ทำอย่างไร?

นี่ไง หักเข้ามาทำงานต่างหากมันถึงจะเป็นจริง มโนมยิทธิก็เป็นเรื่องหนึ่ง นี่เขาพูดถึงว่า “มีบางวิชาในพุทธศาสนา คือมโนมยิทธิที่ทำให้สามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ที่พ้นโลกไปแล้วได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระอริยเจ้าจะทำได้ทุกองค์”

ใช่! ไม่ได้หมายความว่าทำได้ทุกองค์ แล้วก็ไม่ได้หมายความติดต่อพระพุทธเจ้าได้ มีแต่พระพุทธเจ้าจะติดต่อกับเราหรือเปล่า เรามีความดีความชอบขนาดที่พระพุทธเจ้าจะติดต่อกับเราหรือเปล่า นี้อีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : ข้อ ๓. ทำไมมโนมยิทธิในพระไตรปิฎกมีข้อมูลไม่มากนัก แต่ระบุว่าเนรมิตกาย จากกายนี้มีรูปให้เกิดแต่ใจ.. คำว่าเนรมิต จริงๆ แล้วลึกซึ้งในทางปฏิบัติจริงมากน้อยขนาดไหน

หลวงพ่อ : ในทางปฏิบัติมันมีมากมายมหาศาลเลย.. เนรมิตกาย ดูสิอย่างพวกเทวดา พวกเทพ เขาเรียกว่าเทพบุตร เขาต้องการ เห็นไหม อย่างเทวดานี่นะเขาต้องการสื่อกับเรา อย่างเช่นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบตอนที่มาจากพม่า มีเทวดามาใส่บาตร นี่ชัดๆ เลย เทวดามาใส่บาตร พอมาถึงกลางป่าไม่มีบ้านคนแล้ว หิวข้าวมากจะเป็นจะตายแล้ว โฮ้ เวลาปกติเทวดาก็มาติดต่ออยู่ตลอด ตอนนี้ก็จะตายแล้วนะไม่เห็นมีใครมาช่วยเลย พอมาถึงเจออยู่คนหนึ่ง

ทีนี้เจอรอใส่บาตรอยู่ อ้าว ด้วยธรรมชาติของคนนะถามว่า “มาจากไหน” เขาก็ชี้อย่างนี้ แต่ไม่ได้บอกนะ ชี้อย่างนี้ แต่ด้วยความหิวข้าวขอบิณฑบาตก่อน บิณฑบาตพอเขาใส่เสร็จแล้วก็ดูเขา เอ๊ะ.. มันไม่มีบ้านคน พอเดินหลบต้นไม้ เข้าริมต้นไม้แว็บหายไปเลย ต้นไม้นี่ พอเดินเข้าไปหลังต้นไม้แล้วหายไป หลวงปู่ชอบก็ลุกขึ้นนะ แล้วเดินดักหน้า อ้อมไปหานะ หายไปแล้ว ไม่มี เห็นไหม

เราจะเทียบให้ตรงที่ว่า “มีกับไม่มีไง” เวลาไม่มีนี่หายไปแล้ว แต่เวลาที่มีที่ใส่บาตรหลวงปู่ชอบ เห็นไหม เนรมิตเทวดา เนรมิตเป็นเทพบุตรลงมาเป็นรูปธรรม สามารถเอาวัตถุใส่บาตรหลวงปู่ชอบได้ นี่เรื่องเนรมิตมันต้องผู้ที่มีความสามารถเนรมิตกาย

ฉะนั้นในมโนมยิทธินี่ฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ทางใจทำได้ทุกอย่างเลย ถ้าฤทธิ์นั้นไม่เสื่อมนะ ในมโนมยิทธิบอกว่า “เราจะสามารถเข้าฌานสมาบัติ.. โทษนะ นี่เรื่องจริงนะ แม้แต่ถ่าย หมายถึงว่าเราเข้าห้องน้ำ เราถ่ายทุกข์ เราจะเข้าสมาบัติได้คล่องตัวตลอดเวลา” เขาพิสูจน์กันตรงนั้นไง พิสูจน์ว่าแม้แต่เราขับถ่ายอยู่นี่เรายังเข้าสมาบัติได้ตลอดเวลา คือชำนาญได้ขนาดนั้น ถ้ามันชำนาญขนาดนั้นมันไม่เสื่อมไง มันไม่แถไง แต่นี่ของเรานะ อู้ฮู.. ไปขอกันไว้เกือบตายมันยังเสื่อมเลย อย่าว่าแต่ไปถ่ายเลย

ฉะนั้นคนที่มีความชำนาญขนาดนี้ แล้วพอจิตมันมั่นคงขนาดนี้ มันเนรมิตนี่ได้ไหม มันเนรมิตได้แล้วมันไม่เสื่อม แต่ถ้าพูดถึงนะ ดูสิดูฤๅษีสมัยพุทธกาลนี่เหาะมาเลย เหาะมาผ่านราชวังใช่ไหม เห็นพวกนางสนมเขาอาบน้ำกันอยู่ โอ้โฮ.. ตกตุ้บเลย นั่นเนรมิตได้ไหม คือใจมันไม่มั่นคงไง ใจมันยังไม่มั่นคง แต่เวลาที่ว่าเนรมิตได้ไหม อะไรได้ไหมนี่ถ้าจิตมันดี ถ้าจิตไม่ดีมันทำไม่ได้

เขาถามว่า “จริงๆ แล้วมันมีความลึกซึ้งในทางปฏิบัติขนาดไหน” มันไม่มีขอบเขตเลย ไม่มีขอบเขตหมายความว่า ถ้าจิตมันมีกำลังมาก จิตมันมีวาสนามาก มันทำได้มหัศจรรย์มาก ดูอย่างพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะทำได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างแล้วไม่ได้ทำเองนะ เวลาที่ว่าพราหมณ์นิมนต์ไป ไม่มีจะกิน เห็นไหม บอกพระพุทธเจ้าเลยว่า

“ข้าพเจ้าจะพลิกง่วนดินขึ้นมากิน”

ดินสอพองไง ง่วนดินคือดินที่กินได้ ข้าพเจ้าจะพลิกง่วนดินคือพลิกโลก

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอจะพลิกโลก แล้วพระ แล้วประชาชนอยู่เต็มไปหมด เธอจะทำอย่างไร”

พระโมคคัลลานะบอกว่า “ข้าพเจ้าจะแผ่มือของข้าพเจ้าเป็นอีกทวีปหนึ่ง รองรับประชาชนไว้ทั้งหมดเลย แล้วข้าพเจ้าจะพลิกแผ่นดินขึ้นมา แล้วเอาประชาชนมาวางลงไปบนแผ่นดินนี้”

นี่พระโมคคัลลานะบอกกับพระพุทธเจ้านะว่าจะทำอย่างนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราไม่อนุญาต” อด ไม่ต้องกิน อดข้าวกันอยู่อย่างนั้นจนออกพรรษา พระพุทธเจ้าอนุโมทนา

“เออ.. พวกเธอชนะแล้ว ชนะความอยาก”

พระไม่มีจะกินไง พราหมณ์นิมนต์ไว้แล้วลืมใส่บาตร แม้แต่พระพุทธเจ้านะ ฉะนั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำๆ พระโมคคัลลานะพูดกับพระพุทธเจ้าอยู่ พูดโกหกได้ไหม?

นี่พูดถึงเนรมิตไง แล้วเราจะบอกว่าพระโมคคัลลานะทำได้เพราะอะไร เพราะพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ถ้าสมมุตินะ อันนี้สมมุตินะ สมมุติว่าพวกเราทำ อย่าว่าแต่เราเลย พวกเราทำ สมมุติว่าให้พวกเราทำ เราก็เนรมิตขึ้นมาเลยนะ พอเนรมิตขึ้นมา พอมันเห็นมหัศจรรย์ขึ้นมา ใจมันไหวนะ โอ๋ย ฉิบหายเลย หลุดหมด ให้เราเนรมิตใช่ไหม เราก็เนรมิตเลย พอเนรมิตขึ้นมาแล้วมันเห็นใช่ไหม มันก็ตกใจ ตกใจคือจิตมันเคลื่อน ถ้าจิตมันเคลื่อน สิ่งที่เป็นเนรมิตนะแหลกหมด

เป็นไปไม่ได้ไง ถ้าใจพวกเรามันไม่มั่นคงนะ แล้วคนมีกิเลสมันมั่นคงไหม? แต่พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นพระอรหันต์ จิตใจพระอรหันต์จะคลอนแคลนไหม แต่เพราะจิตใจพวกเราคลอนแคลน มโนมยิทธิมันแค่ทำสมาธิ แล้วถ้าจิตใจเราคลอนแคลน เราทำแล้วคลอนแคลน สิ่งที่ทำคลอนแคลนอยู่มันก็ล่มน่ะสิ มันเป็นไปได้ยาก

แต่นี้สิ่งที่เป็นมันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือพระอรหันต์ทำ อย่างเช่นหลวงปู่ตื้อนี่พระอรหันต์แล้วทำ หลวงปู่มั่นใช้ประจำ ไปนู่น ไปนี่ ไปพิสูจน์นู่น พิสูจน์นี่ ทำไม่มีหวั่นไหว แต่อย่างพวกเราถ้าหลวงปู่มั่นใช้นะ โอ้โฮ.. จะกลับมาคุย เขียนประวัติไง

โอ้โฮ.. หลวงปู่มั่นใช้อย่างนั้น หลวงปู่มั่นทำอย่างนั้น จะเก็บสถิติ แต่หลวงปู่ตื้อท่านไม่เห็นพูดอะไรเลย เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่หวั่นไหว แต่ถ้าเป็นพวกเรานะ ลองให้หลวงปู่มั่นได้สั่งอย่างนั้นนะ ประวัตินี่ยาวเป็นหางว่าวเลย เขียนใหญ่เลย โอ้โฮ.. หลวงปู่มั่นใช้อย่างนั้น ใช้อย่างนั้น กิเลส! กิเลสไง กิเลสมันยกตูด กิเลสมันอยากดัง

ถาม : ฉะนั้นพูดถึงว่า ทำไมมโนมยิทธิที่ระบุในพระไตรปิฎกมีข้อมูลไม่มากนัก แต่ระบุว่าเนรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแก่ใจ คำว่าเนรมิต จริงๆ ทำได้แค่ไหน

หลวงพ่อ : โอ้โฮ.. ฤทธิ์เดชนี่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ที่รอบคอบ ฉะนั้นจะพูดอะไรที่เป็นนอกเรื่องนอกราว แล้วพูดอะไรที่จะชักนำให้พวกเราสนใจแล้วจิตส่งออก คิดดูสิอาจารย์ที่ประเสริฐจะทำอย่างนั้นไหม? หลวงปู่มั่นท่านรู้อะไรมหาศาลเลย สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังอยู่นี้ เพราะความสามารถของหลวงตานะ หลวงตาท่านเป็นลูกรัก ท่านเป็นคนที่เข้าไปอุปัฏฐาก ตกกลางคืนมาท่านจะไปเฝ้าอยู่นั่น แล้วท่านใช้อุบายของท่านถาม คือพยายามจะเอาข้อมูลไง

สิ่งที่เราได้ยินอยู่นี้มันด้วยความสามารถของหลวงตา ประสาเราว่าไปล้วงข้อมูลมาจากใจหลวงปู่มั่น เราถึงได้ยินได้ฟังกันบ้าง ถ้าไม่มีหลวงตาที่มีความสามารถ พยายามเข้าไปทำคุณงามความดี เข้าไปให้ท่านไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วเอาข้อมูลในหัวใจของหลวงปู่มั่นออกมาให้พวกเราได้ยินได้ฟังกัน เราจะไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย

นี่ความจริงเขาเป็นอย่างนี้ ทีนี้พอเป็นความจริงออกมาแล้ว หลวงปู่มั่น หลวงตา หรือว่าที่เราพูดอยู่นี้ เราก็จะพูดให้พวกเรามั่นใจในศาสนาไง แต่ถ้ามันมองในมุมกลับใช่ไหม มองอีกมุมหนึ่งก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช มันก็มาทำลายศาสนาเหมือนกันว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องมรรคญาณ

ฉะนั้นเพียงแต่ว่า ข้อเท็จจริงความจริง มันเอามาให้เห็นว่าความจริงมันคืออะไร แล้วที่เราศึกษาอยู่ในโลกนี้มันคืออะไร.. นี่พูดถึงความจริงนะ!

ถาม : ข้อ ๔. สภาวะที่อธิบายได้ใกล้เคียงนิพพานที่สุดคือความว่าง ไม่มีจิต ไม่มีกิเลส ใช่หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : อืม.. ใช่ แต่ถ้าสภาวะที่เป็นจริง มันต้องแบบมหายาน สภาวะคือเม้มปากไว้ เม้มปากแล้วนั่งลง คือไม่อ้าปากเลย นั่นล่ะสภาวะนั้นจริง แต่พวกเรามันไม่จริงน่ะสิ

อันนี้พูดถึงสภาวะนั้นนะ ดูสิเวลาเขาพูดถึงนิพพาน ลุกขึ้น เม้มปากแล้วก็นั่งลง อ้าปากปั๊บมันเสวยอารมณ์ไง คือลองกระดิกปั๊บมันออกมาจากธรรมอันนั้นหมด แค่คิดไง เขาเรียกเสวยแล้ว ฉะนั้นพระอรหันต์ที่นิพพานถึงว่ามีสติสมบูรณ์ๆ เพราะมันกระเพื่อม มันขยับ

พลังงานนี่ เราจะพูดกันนี่นะมันต้องคิดก่อนว่าเราจะพูดเรื่องอะไร ความคิดที่มันออกมานี่จิตมันเสวยอารมณ์หมดแล้ว มันออกมาเป็นสมมุติบัญญัติ ออกมาเป็นเรื่องสามแดนโลกธาตุ มันไม่เป็นความจริงอันนั้นแล้ว

ฉะนั้น เพียงแต่ว่าสอุปาทิเสสนิพพาน.. สะ คือความนึกคิด คือธาตุร่างกายยังมีอยู่ ฉะนั้นพระอรหันต์ยังมีพระอรหันต์ที่มีชีวิต กับพระอรหันต์ที่ตายแล้ว พระอรหันต์ที่ตายแล้วเขาเรียกอนุปาทิเสสนิพพาน คือสิ้นหมดทั้งกระบวนการ แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม สะ คือเศษ สอุปาทิเสสนิพพาน สะ คือสิ่งที่สืบต่อ สิ่งที่เราคุยกันอยู่นี้ อันนั้นถึงว่ามันเป็นวาสนาของเราที่ได้พบไง ได้พบ ได้สัมผัส

ฉะนั้นสภาวะที่ใกล้เคียงที่สุด พระอรหันต์ที่ตายแล้วนี่ใกล้เคียงที่สุดเลย ขณะพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ยังมีเศษ มีสิ่งกระทบ แล้วสิ่งที่เราคิดนี้มันเป็นจินตนาการล้วนๆ เลย

“สภาวะที่อธิบายได้ใกล้เคียงนิพพานที่สุดคือความว่าง ไม่มีจิต ไม่มีกิเลส ใช่ไหมครับ”

ก็คือการคิดครับ ทีนี้เพียงแต่ว่าความคิดครับ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เห็นไหม เขาเรียกว่า บุคลาธิษฐาน คือพยายามจะยกตัวอย่าง ตุ๊กตา ฉะนั้นพยายามยกตุ๊กตาเทียบเคียงเพื่อให้ใกล้เคียงที่สุด แล้วให้เราเข้าใจได้ เขาเรียกว่า “บุคลาธิษฐาน”

ถาม : ข้อ ๕. สภาวะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่พ้นจากโลกแล้ว สามารถปรากฏเป็นนิมิตกับผู้ที่ปฏิบัติ มีสภาวะจิตที่ถึงกันจริงๆ ใช่หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย เราก็ยังแยกเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ แต่ถ้าพูดถึงผู้ที่เป็นถึงความจริงแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงตาถึงพูด เห็นไหม

“พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงที่ใจ”

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเข้ามาได้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม สมัยพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว มันมีรัตนะ ๒ คือพระพุทธเจ้ากับพระธรรม ฉะนั้นพอพระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรม พอบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วในโลกเราถึงมีพระรัตนตรัย คือรัตนตรัยครบสมบูรณ์ โดยพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็จะบอกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่พ้นจากโลก เราก็ยังแยกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้ต่างหากอีก เห็นไหม

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นเรื่องของวัตถุ.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่บรรลุธรรม เห็นไหม พระพุทธเจ้ากราบธรรม! พระพุทธเจ้ากราบธรรม! เวลาหลวงปู่มั่นนะ แม้แต่ตัวหนังสือ ตัวอักษรนี่ท่านเอาไว้ที่สูงมากเลย เพราะสิ่งนั้นคือสื่อสารธรรมะของพระพุทธเจ้าได้

ฉะนั้นพูดถึงว่าเวลาเราเข้าถึงแล้ว พุทธ ธรรม สงฆ์ก็รวมลงอยู่ที่ใจ รวมลงสู่ที่ใจมันก็เป็นอันเดียวกัน มันไม่แยกเป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ ทีนี้ที่แยกเป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ก็เพื่ออธิบายกับพวกเรานี่ไง ถ้าไม่แยกพุทธ ธรรม สงฆ์ พวกเราหัวแตกเลย นี่พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่ง อ้าว.. แล้วหนึ่งมันอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร พระสงฆ์เป็นอย่างไร มันก็เลยมีปัญหาไปหมดเลย

นี่พูดถึงว่าเวลาเราอธิบาย เราทำความเข้าใจกัน นี่เป็นเรื่องของโลกที่จะเข้าไปสู่ธรรม พอเข้าไปสู่ธรรมแล้ว พอถึงที่ธรรม เหมือนกับเรามีเป้าหมายที่ไหน เรานัดกันที่ไหนที่หนึ่ง พอเราไปถึงที่นัดหมายแล้วก็จบใช่ไหม แต่เราไปถึงที่นัดหมายที่หนึ่ง แต่เราอยู่คนละสถานที่ใช่ไหม ทีนี้ถนนหนทางมันจะเข้าไปสู่ที่เป้าหมายนั้นมันก็แตกต่างกันใช่ไหม

เอาล่ะเป็นเรื่องแล้ว เอาเลยเอ็งถูกข้าผิดนะ ใครจะเข้าทางนั้น ใครจะเข้าทางนี้ ก็ไปสู่ที่เป้าหมายนั้น เพราะเราอยู่กันคนละสถานที่ เป้าหมายอยู่อีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นพอเข้าถึงเป้าหมายปั๊บจบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียว

นี่ไง “สภาวะของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่พ้นจากโลกแล้ว สามารถปรากฏเป็นนิมิตกับผู้ที่ปฏิบัติ ที่เป็นสภาวะจิตที่ถึงกัน”

อันนี้เราจะพูดถึงพระพุทธเจ้ามาหาหลวงปู่มั่นไง เวลาพ้นไปแล้วมันคนละเรื่องนะ เวลาพ้นไปแล้วเป็นเรื่องหนึ่ง คือว่าอนุปาทิเสสนิพพาน คือสิ้นไปแล้ว ฉะนั้นเวลาโลกเรา เห็นไหม ในโลกเรานี่กามภพ รูปภพ อรูปภพ เวลาคนเกิดตายในวัฏฏะ คือภพชาติในการเวียนตายเวียนเกิด ในพรหม ในเทวดา ในมนุษย์ ในสัตว์เดรัจฉานต่างๆ การเกิดคือการอุบัติ แต่การดำรงอยู่ล่ะ การดำรงอยู่นี้ดำรงอยู่อย่างไร?

การดำรงอยู่ต้องมีอาหาร ทุกชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร การดำรงอยู่ด้วยอาหาร เห็นไหม

พรหม ผัสสาหาร

เทวดา วิญญาณาหาร

มนุษย์ กวฬิงกวราหาร

มโนมยิทธิ มโนสัญเจตนาหาร

นี่ไง นี่พูดถึงบอกว่าการสืบต่อถึงกัน พูดถึงพุทธ ธรรม สงฆ์จะปรากฏนิมิตอย่างไร นี่มันอาหาร ในเมื่อคนดำรงอยู่มันมีอาหาร มีความสืบต่อ ดูสิเวลากินข้าวกับอะไร? กินข้าวอร่อยไหม? ก็คุยกันเรื่องกินข้าวนะ แล้วทักกันก็ทักเรื่องกินข้าว กินข้าวกับอะไร? กินข้าวที่ไหน? นี่ก็เหมือนกัน จะสืบต่อกันอย่างไร?

เราพูดตรงนี้ออกมาเพราะว่า เราจะมายืนยัน เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว เราจะยึดพุทธ ธรรม สงฆ์แล้ว มันก็ยังมีอยู่คงที่เหมือนวัตถุ แล้วจะติดต่อกับใคร จะนิมิตอย่างไร ไม่ใช่.. พ้นออกไปจากสามแดนโลกธาตุ พ้นออกไปจากวิวัฏฏะ จับต้องสิ่งใดไม่ได้ พูดออกมาเป็นสมมุติบัญญัติไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นแล้วมาอย่างไร? นี่มันมาอย่างไร?

ความดำรงอยู่ สิ่งที่ดำรงอยู่กับสิ่งที่ดำรงอยู่สื่อสารกัน มันถึงจะรู้ได้จริงไหม ถ้าไม่มีสิ่งที่ดำรงอยู่ เราจะสื่อสารกันอย่างใด ฉะนั้นการสื่อสารอย่างนี้มันไม่เหมือนกับการสื่อสารแบบองค์การนาซ่า เวลาจะออกไปอวกาศ จะออกจากแรงดึงดูดของโลกอย่างไร จะเข้าสู่อย่างนั้น นี่พูดถึงอย่างนั้นนะ แต่ถ้ามันเป็นจิตล่ะ เออ.. จิตที่จะอนุโมทนานี่จะมาอย่างไร?

เพราะพูดออกไปชัดเจน เขายังบอกเลยนะ

“ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าไม่สมควรออกอากาศ หลวงพ่อไม่ต้องพูดก็ได้”

เขาก็รู้อยู่ เห็นไหม “ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าไม่สมควรจะออกอากาศ จะกระทบกระเทือน ผมก็จะขออนุญาตเซฟในเครื่องไว้ก่อน” ยังอยากได้อยู่ไง

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้ ถ้าเป็นหลวงตานะหลวงตาจะบอกว่า “มันไม่ใช่เรื่องของอริยสัจ” เรื่องนี้หลวงตาท่านจะบอกว่า “เราไม่ตอบ เราจะตอบเฉพาะเรื่องการปฏิบัติมา แล้วใครติดขัดอย่างไร เราจะตอบตรงนั้น อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์”

แต่อันนี้มันบอกว่าต้องการชัดๆ แล้วอีกอย่างหนึ่งมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ ของปัญญาในวงกรรมฐาน กับปัญญาในวงปริยัติ ปัญญาในวงวิทยาศาสตร์.. ที่เราพูดเพราะเหตุนี้ เราจะพูดให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในโลก

ปริยัติ! ปริยัติคือการศึกษาตามข้อเท็จจริง

ปฏิบัติ! ปฏิบัติมันมีความรู้จริงนะ

ทีนี้ที่เราพูดเราจะให้เห็นว่า เรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของโลก เรื่องของทางวิชาการเป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องของปริยัติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องที่ความเห็นต่างๆ เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องของความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น ข้อ ๖.

ถาม : ข้อ ๖. ที่เรียกว่าพระรัตนตรัย คำว่ารัตนะแปลว่าแก้ว ในที่นี่จะเกี่ยวเนื่องอะไรกับภาวะนิมิตที่ปรากฏเห็นในการฝึกมโนมยิทธิหรือไม่ อย่างไรครับ

หลวงพ่อ : ไม่เกี่ยวกันเลย รัตนตรัยนี่แก้วสารพัดนึก คำว่าแก้วสารพัดนึกมันก็เหมือนแก้วรัตนะ เห็นไหม ดูสิขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ในพุทธศาสนาท่านจะพูดอย่างนั้น ขุนนางแก้วเพราะเมื่อสมัยก่อน สมัยพุทธกาลสมัยนั้นวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ คำว่าแก้วสารพัดนึกคือมันนึก มันจินตนาการได้ทุกๆ อย่าง แต่ด้วยความคิดผิดไงว่านิพพานเป็นเมืองแก้ว ก็เลยเอาแก้วมาตั้ง โอ้โฮ.. ปวดหัวเลยนะ

เพราะของที่สว่าง มันก็คู่กับเศร้าหมอง แก้วใสขนาดไหนมันก็คู่กับขุ่น ไม่มีหรอก! นิพพานเมืองแก้วไม่มี! มันเป็นแค่บุคลาธิษฐานบอกว่าเป็นแก้วสารพัดนึก นิพพานคือนิพพาน เมืองแก้วไม่มี! ถ้าเมืองแก้วมีนะ.. จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปอุปกิเลส ความผ่องใส ผ่องแผ้วอันนั้นเป็นแก้วไหม? แล้วผ่องใสมันก็คู่กับเศร้าหมอง

ฉะนั้นมันเป็นภาษา แล้วเราเอาภาษานี้มาวิเคราะห์วิจัยกันผิดทางภาษา มันไม่ใช่ผิดตามข้อเท็จจริง นี่ที่ว่าพระรัตนตรัย รัตนะแปลว่าแก้ว เออ.. ก็ถูกต้อง รัตนะแปลว่าแก้ว ทีนี้คิดดูสิขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว เพราะในพระไตรปิฎกมี มีว่าจักรพรรดิเขาอยากจะพิสูจน์ขุนคลังแก้ว เขาก็เอาเรือออกมากลางแม่น้ำ ให้ขุนคลังกับเขาไปด้วยกันกับจักรพรรดินะ พายเรือกันไป ๒ คน ไปกลางแม่น้ำ “เอาทอง”

ขุนคลังแก้วออกไปกลางแม่น้ำ เขาก็เอามือนะ.. อยู่ในพระไตรปิฎก ไปดูในสุตตันตปิฎก เราอ่านมาแล้ว ขุนคลังแก้ว ก็ด้วยบารมีของขุนคลังแก้วเอามือจุ่มลงไปในน้ำเลย เอามือจุ่มลงไปในน้ำ เพราะนั่งอยู่ในเรือ เรืออยู่กลางแม่น้ำ ๒ คน เอามือจุ่มไปกลางน้ำ ยกขึ้นมา อ้าว.. จะเอาอะไรล่ะ? เอาเงิน จักรพรรดิเรียกเอาได้หมดเลย

ฉะนั้น ขุนพลแก้ว ขุนนางแก้ว ต่างๆ มันจะมีอำนาจ แต่! แต่มีด้วยอำนาจชั่วคราวนะ มันหมดได้ พอถึงเวลานี่จักร จักรที่หมุนในจักรพรรดิ พอมันหยุดนะ จักรพรรดิต้องออกบวช คือพ้นแล้วต้องออกบวช มันเป็นเวลาไง ฉะนั้นคำว่าแก้วๆ นี่มันสมัยนั้นไง ทีนี้รัตนตรัยมันเหนือนั้นนะ.. มันเหนือนั้น มันดีกว่านั้นมาก

ฉะนั้น สิ่งที่ถามว่า “รัตนตรัยแปลว่าแก้ว ในที่นี้เกี่ยวเนื่องอะไรกับภาวะนิมิตที่ปรากฏเห็นในมโนมยิทธิ”

ในมโนมยิทธิ การฝึกที่ไปรู้ไปเห็นมันก็เป็นนิมิต นิมิตของคนมีหยาบ มีละเอียด ฉะนั้นการฝึกมโนมยิทธิเขามีครูมีอาจารย์ใช่ไหม แล้วครูบาอาจารย์พยายามดึงไป มันก็จะไปเห็นได้โดยกระบวนการนั้น แต่ถ้าพูดถึงไม่มีครูบาอาจารย์คอยโน้มนำนะ ให้ต่างคนต่างนั่งนะ จะเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง บางคนก็เห็น บางคนก็ไม่เห็น แล้วการเห็นจะแตกต่างกันไป ไม่เป็นรูปแบบอย่างนี้ รูปแบบนี้คือการจัดตั้งกระบวนการ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ไป

ฉะนั้น เวลาเป็นแก้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับนิมิต.. นิมิตก็คือนิมิต นิรมิตนี่อย่างหนึ่ง นิมิตนี่อย่างหนึ่ง แล้วมโนมยิทธิที่เห็นในนิมิตนั้น ถ้าเป็นกรรมฐาน ครูบาอาจารย์เรานะท่านจะเทียบกันที่กำลังจิต นี่ถ้าจิตที่กำลังจิตมันดีนะ ดูสิเวลาพิจารณาไปมันจะใสเป็นแก้วเลย แต่ถ้าจิตเราอ่อนลงนะมันเริ่มมัวลงๆ จนเห็นนิมิตเป็นธรรมดาก็มี นี่มันแตกต่างกันตรงนั้น

นี้พูดถึงกำลังของจิตหนึ่ง แล้วพูดถึงอำนาจวาสนาอีกหนึ่ง ฉะนั้นกรรมฐานเราเวลาปฏิบัติแล้วมันจะไม่มีสิ่งใดบอกถึงว่าต้องทำสำเร็จรูป มันไม่มี

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “ที่เรียกว่าพระรัตนตรัย เรียกว่าแก้ว ในที่นี้เกี่ยวเนื่องอะไรกับนิมิตที่ปรากฏเห็นในการฝึกมโนมยิทธิ”

ไม่เกี่ยวเนื่องกัน ดูสิดูอย่างสุตตันตปิฎก เวลาพระพุทธเจ้าพูดเรื่องนี้ๆ มันก็อันเดียวกับที่เขาถามมานี่ เราอ่านนะ อย่างเช่นที่แบบว่าเรื่องผ้า ๓ ผืน พระธุดงค์กรรมฐาน นี่ธุดงค์ ๑๓ ข้อถือผ้า ๓ ผืน ถือผ้า ๓ ผืน แล้วถ้าถือผ้ามากกว่านั้นธุดงค์ขาด

ฉะนั้นย้อนกลับไปดูในสุตตันตปิฎกนะ สมัยพุทธกาลมีพระนี่เก็บสะสมผ้า พอเก็บสะสมผ้า เขาก็จะห่อผ้า เวลาออกเดินทาง เพราะพระสมัยพุทธกาลเขาไม่จำอยู่ที่ เขาจะเคลื่อนตลอดเวลา เวลาไปอยู่ไหนมันจะมีห่อผ้านี่เทินศีรษะไป พระพุทธเจ้าให้สละทิ้งนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราไม่ใช่ผู้มักมากอย่างนั้น” พระพุทธเจ้าให้สละทิ้งๆ ผ้านะ ใครไปได้ผ้าอะไรที่มันเหนือกับโลกที่เขามีกันนะ พระพุทธเจ้าให้เสียสละๆ คำว่าเสียสละคือให้สละออกๆ

ฉะนั้นในวินัยไม่ได้บอกไว้ทั้งหมด แต่มันจะไปอยู่ในสุตตันตปิฎก สุตตันตปิฎกจะบอกถึงการดำรงชีวิตของพระไง พระอยู่ที่นั่นทำผิดอย่างนั้น ทำถูกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตัดสินอย่างนั้น ตัดสินอย่างนั้น ตัดสินอย่างนั้น แต่ในวินัยจะบอกเลยว่าต้นเหตุเป็นอย่างนั้น บัญญัติไว้เพื่ออย่างนี้ๆ นี่พูดถึงวินัย

ฉะนั้น กรณีรัตนะก็เหมือนกัน นี่เวลาพูดถึงว่ารัตนะเปรียบเหมือนแก้ว รัตนตรัย แก้วสารพัดนึก เราก็ไปเล่นแก้วเลย.. ตอนนี้มันอยู่ที่การตีความ ภาษานี้เขาเรียกมคธภาษา ภาษาบาลี ภาษาตายแล้ว แต่เราแปลมาเป็นไทยไง พอเราแปลมาเป็นไทยมันก็อยู่ที่การแปล เหมือนแปลภาษาอังกฤษ ทุกคนก็แปลไปตามความเห็นของตัว

ฉะนั้นอันนี้เป็นการแปล แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันไม่มีคำว่าแปล มันเป็นข้อเท็จจริงของจิต เวลาจิตเป็นสมาธิ จิตมันเห็นแก้ว มันใส ถ้าจิตดีก็เห็นแก้วนี้ใสมาก ถ้าจิตภาวนาเป็นสมาธิเห็นแก้ว ถ้าจิตไม่ดี แก้วก็ขุ่นมัว บางทีแก้วไม่มีเลย บางคนภาวนาไปแล้วไม่เห็นแก้ว

แก้วก็ส่วนแก้ว สมาธิก็ส่วนสมาธิ.. คือสมาธิสงบแล้วเห็นแก้ว คือจิตมันเห็นนิมิต เห็นรูป แต่ถ้าพูดถึงจิตสงบแล้วไม่เห็นรูปก็มีเยอะแยะไป ฉะนั้นมันไม่จำเป็นว่าจะต้องลงแบบนี้ ถึงบอกว่าการปฏิบัติแล้วสูตรสำเร็จไม่มี อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่การภาวนา

อันนี้ เรื่องอย่างนี้มันยังกว้างขวาง อยู่ที่ปฏิบัติ ทีนี้วงกรรมฐานเขาจะเอาตามข้อเท็จจริงว่าใครปฏิบัติได้หรือไม่ได้ แล้วมันจะเป็นตามนั้น ไม่ใช่เอาทฤษฏี เอาอย่างนี้มาเป็นสูตรตายตัวเนาะ

ฉะนั้น “คำว่ารัตนตรัยกับแก้วแตกต่างกันอย่างไร” นี้ไม่ตอบ แต่ที่พูดนี้พูดให้เห็นเหตุเห็นผล แยกแยะให้เห็นถึงเหตุผลเท่านั้น

ฉะนั้น “ผมไม่รู้ว่าตนเองมีมิจฉาทิฏฐิคาใจอยู่กี่ส่วน ยังคาใจในหลายๆ เรื่อง เรื่องทฤษฎีและการปฏิบัติ ผมอยากได้คำตอบชัดๆ ครับ”

นี่พูดถึงทฤษฎีและการปฏิบัติ ฉะนั้นเราก็ตอบได้เท่านี้แหละ ถ้าตอบมากไปกว่านี้ เดี๋ยวมันจะยุ่งกับเราเองเนาะ เอวัง